ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

บทความนี้จะเจาะลึกถึงผลกระทบของภัยธรรมชาติต่อการลงทุน โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง เพื่อให้นักลงทุนเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม

ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุหมุน หรือไฟป่า เกิดขึ้นจากปัจจัยทางธรรมชาติเป็นหลัก เช่น การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนทั่วโลก เช่น ฝนตกหนักในบางพื้นที่และภัยแล้งในพื้นที่อื่น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเดือนกันยายน 2023 ซึ่งองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) รายงานว่าเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง +1.4 องศาเซลเซียส การเพิ่มขึ้นนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศ แต่ยังส่งผลต่อภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำท่วม และภาวะแห้งแล้งในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก

ภัยธรรมชาติ
น้ำท่วมเหนือ 2024
THAILAND-WEATHER-FLOOD
น้ำท่วม 2567

ผลกระทบของ ภัยธรรมชาติ ต่อเศรษฐกิจและ การลงทุน

ภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหลากหลายมิติ ทั้งในเชิงลบและเชิงบวก ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของภัยธรรมชาติ รวมถึงประเภทของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

ผลกระทบเชิงลบ

ความสูญเสียทางกายภาพ

ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคาร โรงงาน หรือระบบคมนาคม ส่งผลให้ธุรกิจต้องใช้เวลาและงบประมาณในการฟื้นฟู ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ไฟป่าในออสเตรเลียปี 2019-2020 ที่ทำให้ GDP ของประเทศลดลง 0.2% และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์

ความล่าช้าของโครงการ

โครงการก่อสร้างหรือพัฒนาอาจหยุดชะงักเนื่องจากภัยธรรมชาติ ส่งผลต่อกระแสเงินสดและรายได้ในอนาคตของธุรกิจ

ความผันผวนของตลาด

เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมักสร้างความวิตกกังวลแก่นักลงทุน ส่งผลให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน เช่น การเทขายหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ผลกระทบเชิงบวก

โอกาสในการฟื้นฟูและพัฒนาใหม่

ภายหลังภัยธรรมชาติ ความต้องการในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานมักเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานได้รับอานิสงส์

การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี

ตัวอย่างเช่น เทรนด์การใช้พลังงานหมุนเวียนที่เติบโตในออสเตรเลีย หลังจากปัญหาไฟฟ้าดับในรัฐวิกตอเรีย ทำให้รัฐบาลเร่งผลักดันการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม

โอกาสในอุตสาหกรรมสินค้าและบริการเฉพาะทาง

การเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มความต้องการในสินค้าหรือบริการ เช่น อุปกรณ์ป้องกันภัยพิบัติ ประกันภัย หรือระบบเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับปัญหาสภาพอากาศ

กรณีศึกษา: ภัยธรรมชาติกระทบ การลงทุน

เหตุการณ์ไฟป่าในออสเตรเลีย (2019-2020)

ไฟป่าที่รุนแรงทำให้ GDP ลดลง 0.2% และสร้างความเสียหายมหาศาลต่อโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ปัญหาไฟฟ้าดับในรัฐวิกตอเรียเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาคพลังงานหมุนเวียนเติบโต รัฐบาลลงทุนกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด

พายุโซนร้อน “ปาบึก” (2019)

พายุโซนร้อน “ปาบึก” พัดถล่มภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชุมพร ส่งผลให้เกิดลมแรง ฝนตกหนัก และน้ำท่วมในหลายพื้นที่

  • พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา และสวนผลไม้ถูกทำลาย ความเสียหายรวมกว่า 5,000 ล้านบาท
  • การปิดสนามบินและท่าเรือในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย และเกาะพะงัน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงในช่วงพายุ และกระทบรายได้จากการท่องเที่ยว
  • ถนน สะพาน และไฟฟ้าถูกทำลาย ทำให้การคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้หยุดชะงัก

เหตุการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 (2019-2020)

แม้ไม่ใช่ภัยธรรมชาติแบบฉับพลัน แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งรุนแรงในช่วงปี 2019-2020 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบในด้านการท่องเที่ยว สุขภาพที่ส่งผลไปถึงประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 

ในช่วงดังกล่าวส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลง ประชากรในพื้นที่ป่วยบ่อยขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยจัดการรณรงค์ลดการเผาในที่โล่ง ปรับเปลี่ยนระบบขนส่งใหม่ เพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ที่มีมากเกินไปในเขตตัวเมือง

ภัยแล้งในประเทศไทย (2023)

ปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณฝนลดลง 40% โดยเฉพาะในพื้นที่เพาะปลูกข้าว ส่งผลให้ผลผลิตลดลงกว่า 2 ล้านตัน และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดใหญ่ เช่น PTT และ CP ได้เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรม (AgriTech) เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของผลผลิต

นักลงทุนควรเตรียมตัวอย่างไร?

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ นักลงทุนสามารถดำเนินการดังนี้:

ศึกษาและทำความเข้าใจความเสี่ยง

นักลงทุนควรศึกษาแนวโน้มภัยธรรมชาติและผลกระทบต่อธุรกิจในพอร์ตการลงทุน เช่น ผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนต่อการเกษตร การผลิต และการท่องเที่ยว

กระจายความเสี่ยง

การกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมช่วยลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนหรือธุรกิจที่ปฏิบัติตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance)

ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด

นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและแนวโน้มเศรษฐกิจ เพื่อวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์

พิจารณาการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ

เช่น AgriTech ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร หรือเทคโนโลยีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ

สรุป

ภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อ การลงทุน อย่างชัดเจน ทั้งในด้านลบและด้านบวก ความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับลักษณะของภัยธรรมชาติ ความพร้อมในการรับมือ และประเภทของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง นักลงทุนที่สามารถวางแผนและปรับตัวได้อย่างเหมาะสมจะสามารถลดความเสี่ยงและมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ในสถานการณ์วิกฤต

ทั้งนี้ การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (ESG) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้